วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะ(ราตรีสวัสดิ์)

“ธรรมสวัสดี” เป็นคำฮิตที่แม่ชีรูปหนึ่ง มักใช้ทักทายผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมย่านรามอินทรา ที่มีลูกศิษย์ลูกหา อุ่นหนาฝาคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

ฉันและเพื่อนก็เป็นคนหนึ่งที่อยาก (ลอง) ไปปฏิบัติธรรม สักครั้ง !
ฮิตกันนัก เผื่อจะดี
ในฐานะชาวพุทธคนนึง ไม่เชื่อย่อมไม่หลบหลู่ แม้ฉันจะรู้สึกอยู่ลึกๆเหมือนกับหลายคนว่า

ธรรมะนั้นอยู่ที่ใจ หาใช่สถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่

ครั้งนั้น ฉันและเพื่อน รวมอยู่กับหมู่มวลผู้ปฏิบัติธรรมที่มาจากหลายสารทิศ
อย่างที่รู้ๆกัน การปฏิบัติธรรม ประกอบด้วย การร้องเพลงสวดมนต์(มีทำนอง)ซึ่งสวดเป็นภาษาสันสกฤตพร้อมแปลเป็นภาษาไทย แผ่เมตตา นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฝึกโยคะ ถือศีล8 (กินอาหารวันละ 2 มื้อ) นอนปฏิบัติธรรมกลางแจ้ง ฯลฯ

ฉันสังเกตจากแววตาของผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ล้วนเป็นผู้มีความมุ่งมั่น ยกเว้นก็แต่ฉัน (ล่ะมั่ง)
ที่ต้องบอกว่า ปฏิบัติแบบไม่อิน เพราะฉันมักจะ “ตั้งคำถาม” ในเกือบทุกกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมสวดมนต์ แม้จะพยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ค้านอยู่ในทีว่า ทำไมต้องตื่นแต่เช้า มานั่งสวดมนต์ให้ยุงกัน ปวดขา ฯลฯ (ถ้าฉันเป็นไข้เลือดออก ไม่รู้จะถามหาความรับผิดชอบจากใคร)
บทแปลก็หาใช่ จะทำให้ฉันซึมซับกับเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่อง “พระพุทธเจ้ากับประดาสาวก” ที่มักขึ้นต้นว่า "ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ...ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับคารวาท ตรงไหน"






ตามมาด้วยความหงุดหงิด กับที่หลับที่นอน ที่ต้องแย่งกันอาบน้ำ เจอะเจอสัตว์ประหลาด (กิ้งกือ) ต้องนอนใกล้คนนอนกรน และห้องนอนรวมที่ร้อนสุดๆ จนต้องรอขอให้แม่ชีช่วยเปิดแอร์

ทว่า นี่คือการปฏิบัติธรรม ที่ทุกคนจำต้องรู้จัก “น้ำอดน้ำทน” ไม่ใช่หรือ
เรียกว่า...ธรรมะ สามารถให้เหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ไม่ว่าคุณจะร้อน เหนื่อย เมื่อยล้า อึดอัด สักปานใด
ต้องไม่หงุดหงิด ยิ้มไว้เท่านั้น นะลูก

“วันแรก” สำหรับฉันผ่านไปด้วยความยากเย็น กว่าจะถึงวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม ที่ทำให้ฉันถึงกับ “ตบะแตก” ทั้งๆที่ยังไม่ได้บวชเป็นชี

กับการฟังธรรมะเกี่ยวกับความเอื้ออาทรระหว่าง สามีกับภรรยาที่ตั้งครรภ์ รอวันที่เทพธิดาน้อยมาจุติ
คู่สามี-ภรรยา คู่แล้วคู่เล่า เดินเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ บางคู่ก็พาลูกเล็กมาวิ่งซนในสถานที่แห่งนี้ ดูเป็นภาพที่น่ารัก น่าชัง น่าหยิก ฯลฯ
แต่ไม่ใช่ “สำหรับฉัน”
ที่รู้สึกถึงความ “แปลกแยก” ที่ต้องมานั่งฟังธรรมร่วมกับการทำกิจกรรมสามี-ภรรยาตั้งครรภ์ ที่ฉันไม่สนใจ ซักนิด เพราะปวารณาตัวว่า ชาตินี้ถ้าไม่เป็นโสด มีคู่ก็ขออยู่แบบไม่มีห่วงผูกคอ ให้เกิดมาแบกรับความทุกข์กับสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน

นอกจากการฟังธรรมเรื่องที่ว่าแล้ว ยังมีการเปิดเพลง สามีลูบท้องภรรยา หลายคนยิ้ม แต่ฉัน “ไม่”
การหลบไปนั่งเย็นใจ นอกขันธสีมาของลานฟังธรรม จึงเกิดขึ้นกับฉัน
แต่ไม่เกิดขึ้นกับเพื่อนของฉัน ที่ถึงอารมณ์กับกิจกรรมสามี-ภรรยา จนตาแดง น้ำตาซึม (จริงๆนะ)

หมดช่วงเช้าของกิจกรรม ฉันบอกกับตัวเองว่า นั่นคือช่วงสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมของ “คนบาป” ที่ไม่ได้ชั่วร้ายอย่างฉัน
อาการยื้อยุดฉุดกระชากของเพื่อน เพื่อให้ฉันอยู่ปฏิบัติธรรมต่อ จึงเกิดขึ้น
แต่มันหาได้ทำให้ฉันเปลี่ยนใจ
คุณคงนึกออกถึง “ผลลัพธ์” ของการปฏิบัติธรรมของฉันกับเพื่อน ที่ต้องสวมคอนเวิร์ด

ธรรมะ (ราตรีสวัสดิ์) ค่ะ

1 ความคิดเห็น:

  1. 555 ความเรียงชิ้นนี้สุ่มเสี่ยงต่อการวิวาทะเป็นอย่างยิ่ง
    แต่เข้าใจจริงๆ ว่ารู้สึกยังไง ถึงไม่ไปไง...บาป
    ...ความไม่สะดวก และไม่สบายทำให้เราได้ฝึกตนเอง
    แม้จะรู้ทั้งรู้อ่ะนะ ก็อดคิดไม่ได้

    ตอบลบ