วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฟองเต้าหู้

หัวใจฉันหล่นวูบในทันทีเมื่อรู้ข่าวจากยายจันทร์ เจ้าของแผงขายดอกไม้ในตลาดศรีเทพา ใกล้สี่แยกเทพารักษ์ว่า หนุ่มใหญ่วัย 30 เศษ ที่ยืนขายน้ำเต้าหู้อยู่ข้างแผงขายดอกไม้ของยายจันทร์ เพิ่งถูกรถสองแถวแดง ที่วิ่งรับ-ส่งคนในละแวกนั้นชนเข้าอย่างจังเมื่อเช้ามืด

ก่อนที่จะทันได้เสริฟน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ให้กับลูกค้าขาประจำเหมือนเช่นเคย

“อ้าว...ยายจันทร์ วันนี้พี่น้ำเต้าหู้ไม่มาขายเหรอ” ฉันถาม หลังเหลือบมองพื้นที่ว่างเปล่า อดเสียดายเล็กๆ ไม่ได้ว่า...ชวดอีกแล้วสิเรา

“โอ๊ย...เฮียโก๋ นะเหรอ....” ยายจันทร์ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะพรั่งพรูคำพูดออกมาว่า...




“น่าสงสารคนทำมาหากิน ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เมื่อเช้ามืดมันโดนสองแถวชน ตรงสี่แยกนี่แหละหนู ตีนผีชัดๆ...ไอ้จ้อยมันเพิ่งไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลมา เห็นว่าอาการโคม่า เป็นตายเท่ากัน”

วินาทีที่สมองฉันประมวลเรื่องราวที่ยายจันทร์บอกเล่าได้...ฉันได้แต่นิ่งงัน เหมือนหยุดเวลา ลำคอรู้สึกถึงความแห้งผาก เหมือนมีลูกกลมๆอะไรสักลูกจุกอยู่ที่คอ

............!!!

ก่อนจะตั้งสติได้ เดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อรอรถสาย 145 พาหนะที่นำฉันไปที่ทำงานย่านบางนาตราด

แปลกอยู่ตรงที่ว่า...ช่วงเวลาที่ก้าวเดินช่างเนิ่นนานในความรู้สึก ไม่เหมือนทุกวันที่ฉันมักจะเดินอมยิ้ม หลังจากซื้อน้ำเต้าหู้ 2 ถุงจากร้านเฮียโก๋

“น้ำเต้าหู้ 2 ถุงไม่ใส่เครื่อง” เป็นประโยคเด็ดที่ฉันพูดเกือบทุกเช้า คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวัน แม้บางวันฉันจะไม่นึกอยากกินน้ำเต้าหู้ฝีมือเฮียสักนิด

...แต่มันคือความผูกพัน ถ้าไม่ได้พูดประโยคนี้เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง...ฉันคิด

เหมือนวันนี้ เฮียจะเป็นอย่างไรบ้าง

ความคิดฉันสะดุดลง เมื่อรถเมล์สาย 145 วิ่งมาจอดเทียบที่ป้ายรถเมล์

โชคดีของคนโดยสารรถเมล์...ฉันได้ที่นั่งริมหน้าต่าง ไม่วายจมอยู่ในความคิดเรื่องเฮียโก๋

“ทำไมฉันต้องห่วงเฮียโก๋ขนาดนั้น” ฉันรำพึงในใจ

“ไม่...ไม่ใช่ตัวเฮีย แต่เป็น ฟองเต้าหู้ ของเฮียต่างหาก”

พักหลังที่ฉันไปซื้อน้ำเต้าหู้ ฉันสังเกตถึงความพยายามสุดฤทธิ์ของเฮียที่จะควานหาฟองเต้าหู้ เส้นใยบางๆที่เคลือบอยู่บนสุดของน้ำเต้าหู้ให้ฉัน

ฉันสัมผัสได้ว่า...ในความรู้สึกของเฮีย ฟองเต้าหู้คือส่วนที่ดีที่สุดของน้ำเต้าหู้สักหม้อ

เฮียได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ฉัน โดยที่เฮียไม่จำเป็นต้องบอกเล่า

...แต่ฉันสัมผัสได้

รถเมล์คันที่ฉันนั่ง หยุดติดสัญญาณไฟแดงตรงแยกโรงพยาบาลที่เฮียนอนป่วยอยู่

ฉันไม่วายเหลือบมองดูโรงพยาบาล ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปจากสี่แยก 200-300 เมตร

ไวกว่าความคิดจะก้าวลงจากรถเพื่อไปเยี่ยมเฮียโก๋ รถเมล์คันที่ฉันนั่งก็ทยานออกจากสี่แยก

...ว้า !!! ไม่ทันเสียแล้ว

ทันใดนั้น ความคิดก็ผุดขึ้นมาตอบโต้กับความคิดแรกว่า...

ไม่ทันสำหรับอะไร ?
…สำหรับป้ายนี้!!!

ฉันอดนึกขอบใจโชเฟอร์รถเมล์ที่พุ่งรถออกจากสี่แยกตามสัญญาณไฟเขียวไม่ได้ เพราะมันทำให้ฉันได้คิด !!

ฉันเดินอาดๆ มากดกริ่ง หลังรถเมล์แล่นเลยจากสี่แยกมาได้สอง-สาม ป้ายรถเมล์ เพื่อลงจากรถ ก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่ อย่างไม่คิดเสียดายสตางค์เหมือนก่อน

“พี่ๆ ไปโรงพยาบาล....ฉันบอกชื่อโรงพยาบาล”

แท็กซี่จอดเทียบหน้าประตูโรงพยาบาล ไม่ทันที่บุรุษพยาบาลจะมาเปิดประตูรถ ฉันก็พาตัวเองไปที่เค้าน์เตอร์บริการสอบถาม
ก่อนจะรู้ว่าเฮียพักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน

ฉันผลักประตูเข้าไปเยี่ยมอาการเฮียโก๋อย่างร้อนรน

ไม่ต่างจากภาพที่ฉันคิด เฮียโก๋อาการเพี้ยบแปล้

ทว่า...ยังมีลมหายใจรวยริน

เฮียเปิดเปลือกตามามองฉันพร้อมด้วยรอยยิ้ม เฮียทำเหมือนเดิมคือไม่พูดอะไร แต่ฉันสัมผัสได้

เหมือนฟองเต้าหู้ ที่จะฟูในใจฉันทุกครั้งที่คิดถึงเฮีย

บ่ายแก่ๆ ของวันเดียวกัน เฮียโก๋ก็ลาโลกไปอย่างสงบ กับแผงขายน้ำเต้าหู้ที่ปิดร้าง

วัน...สองวัน...สามวัน....สี่วัน ฯลฯ

หนักเข้า..ยายจันทร์เลยถือโอกาสขยายแผงขายดอกไม้ให้กว้างขวางขึ้น...กลบอดีตของฉันเสียมิด

โชคดีที่ฉันได้บอกลาเฮียโก๋ เป็นครั้งสุดท้าย

ขอบคุณรถเมล์สาย 145
ขอบคุณฟองเต้าหู้

1 ความคิดเห็น:

  1. เศร้าว่ะ
    ชีวิตคนเราก็งี้เนอะ ไม่แน่ไม่นอน
    ใครกันนะที่ว่าคนสมัยนี้ไม่สนใจกัน
    ไม่จริงเสมอไปหรอกเนอะ

    ตอบลบ