ก่อนที่จะทันได้เสริฟน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ให้กับลูกค้าขาประจำเหมือนเช่นเคย
“อ้าว...ยายจันทร์ วันนี้พี่น้ำเต้าหู้ไม่มาขายเหรอ” ฉันถาม หลังเหลือบมองพื้นที่ว่างเปล่า อดเสียดายเล็กๆ ไม่ได้ว่า...ชวดอีกแล้วสิเรา
“โอ๊ย...เฮียโก๋ นะเหรอ....” ยายจันทร์ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะพรั่งพรูคำพูดออกมาว่า...

“น่าสงสารคนทำมาหากิน ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เมื่อเช้ามืดมันโดนสองแถวชน ตรงสี่แยกนี่แหละหนู ตีนผีชัดๆ...ไอ้จ้อยมันเพิ่งไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลมา เห็นว่าอาการโคม่า เป็นตายเท่ากัน”
วินาทีที่สมองฉันประมวลเรื่องราวที่ยายจันทร์บอกเล่าได้...ฉันได้แต่นิ่งงัน เหมือนหยุดเวลา ลำคอรู้สึกถึงความแห้งผาก เหมือนมีลูกกลมๆอะไรสักลูกจุกอยู่ที่คอ
............!!!
ก่อนจะตั้งสติได้ เดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อรอรถสาย 145 พาหนะที่นำฉันไปที่ทำงานย่านบางนาตราด
แปลกอยู่ตรงที่ว่า...ช่วงเวลาที่ก้าวเดินช่างเนิ่นนานในความรู้สึก ไม่เหมือนทุกวันที่ฉันมักจะเดินอมยิ้ม หลังจากซื้อน้ำเต้าหู้ 2 ถุงจากร้านเฮียโก๋
“น้ำเต้าหู้ 2 ถุงไม่ใส่เครื่อง” เป็นประโยคเด็ดที่ฉันพูดเกือบทุกเช้า คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวัน แม้บางวันฉันจะไม่นึกอยากกินน้ำเต้าหู้ฝีมือเฮียสักนิด
...แต่มันคือความผูกพัน ถ้าไม่ได้พูดประโยคนี้เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง...ฉันคิด
เหมือนวันนี้ เฮียจะเป็นอย่างไรบ้าง
ความคิดฉันสะดุดลง เมื่อรถเมล์สาย 145 วิ่งมาจอดเทียบที่ป้ายรถเมล์
โชคดีของคนโดยสารรถเมล์...ฉันได้ที่นั่งริมหน้าต่าง ไม่วายจมอยู่ในความคิดเรื่องเฮียโก๋
“ทำไมฉันต้องห่วงเฮียโก๋ขนาดนั้น” ฉันรำพึงในใจ
“ไม่...ไม่ใช่ตัวเฮีย แต่เป็น ฟองเต้าหู้ ของเฮียต่างหาก”
พักหลังที่ฉันไปซื้อน้ำเต้าหู้ ฉันสังเกตถึงความพยายามสุดฤทธิ์ของเฮียที่จะควานหาฟองเต้าหู้ เส้นใยบางๆที่เคลือบอยู่บนสุดของน้ำเต้าหู้ให้ฉัน
ฉันสัมผัสได้ว่า...ในความรู้สึกของเฮีย ฟองเต้าหู้คือส่วนที่ดีที่สุดของน้ำเต้าหู้สักหม้อ
เฮียได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ฉัน โดยที่เฮียไม่จำเป็นต้องบอกเล่า
...แต่ฉันสัมผัสได้
รถเมล์คันที่ฉันนั่ง หยุดติดสัญญาณไฟแดงตรงแยกโรงพยาบาลที่เฮียนอนป่วยอยู่
ฉันไม่วายเหลือบมองดูโรงพยาบาล ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปจากสี่แยก 200-300 เมตร
ไวกว่าความคิดจะก้าวลงจากรถเพื่อไปเยี่ยมเฮียโก๋ รถเมล์คันที่ฉันนั่งก็ทยานออกจากสี่แยก
...ว้า !!! ไม่ทันเสียแล้ว
ทันใดนั้น ความคิดก็ผุดขึ้นมาตอบโต้กับความคิดแรกว่า...
ไม่ทันสำหรับอะไร ?
…สำหรับป้ายนี้!!!
ฉันอดนึกขอบใจโชเฟอร์รถเมล์ที่พุ่งรถออกจากสี่แยกตามสัญญาณไฟเขียวไม่ได้ เพราะมันทำให้ฉันได้คิด !!
ฉันเดินอาดๆ มากดกริ่ง หลังรถเมล์แล่นเลยจากสี่แยกมาได้สอง-สาม ป้ายรถเมล์ เพื่อลงจากรถ ก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่ อย่างไม่คิดเสียดายสตางค์เหมือนก่อน
“พี่ๆ ไปโรงพยาบาล....ฉันบอกชื่อโรงพยาบาล”
แท็กซี่จอดเทียบหน้าประตูโรงพยาบาล ไม่ทันที่บุรุษพยาบาลจะมาเปิดประตูรถ ฉันก็พาตัวเองไปที่เค้าน์เตอร์บริการสอบถาม
ก่อนจะรู้ว่าเฮียพักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน
ฉันผลักประตูเข้าไปเยี่ยมอาการเฮียโก๋อย่างร้อนรน
ไม่ต่างจากภาพที่ฉันคิด เฮียโก๋อาการเพี้ยบแปล้
ทว่า...ยังมีลมหายใจรวยริน
เฮียเปิดเปลือกตามามองฉันพร้อมด้วยรอยยิ้ม เฮียทำเหมือนเดิมคือไม่พูดอะไร แต่ฉันสัมผัสได้
เหมือนฟองเต้าหู้ ที่จะฟูในใจฉันทุกครั้งที่คิดถึงเฮีย
บ่ายแก่ๆ ของวันเดียวกัน เฮียโก๋ก็ลาโลกไปอย่างสงบ กับแผงขายน้ำเต้าหู้ที่ปิดร้าง
วัน...สองวัน...สามวัน....สี่วัน ฯลฯ
หนักเข้า..ยายจันทร์เลยถือโอกาสขยายแผงขายดอกไม้ให้กว้างขวางขึ้น...กลบอดีตของฉันเสียมิด
โชคดีที่ฉันได้บอกลาเฮียโก๋ เป็นครั้งสุดท้าย
ขอบคุณรถเมล์สาย 145
ขอบคุณฟองเต้าหู้
เศร้าว่ะ
ตอบลบชีวิตคนเราก็งี้เนอะ ไม่แน่ไม่นอน
ใครกันนะที่ว่าคนสมัยนี้ไม่สนใจกัน
ไม่จริงเสมอไปหรอกเนอะ