วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ออง ซาน ซู จี” เธอคือ ระเบิดเวลา

ในที่สุดศาลพม่าก็ตัดสินคดีให้นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในพม่า วัย 64 ปี ต้องโทษถูกกักขังในบ้านของตัวเองนาน 18 เดือน ฐานที่ปล่อยให้นายจอห์น ยิตตอว์ ชายชาวสหรัฐ ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบอินเลย์ เข้าไปหานางซูจี ถึงบ้านพัก เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา

ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนนางซูจี ระบุว่า การตัดสินเช่นนี้เพราะรัฐบาลทหารพม่าต้องการกีดกันนางซูจี ออกจากการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในปีหน้า

นี่คือ ชะตากรรมของนาง
ที่ฟันธงได้ว่า รัฐบาลทหารพม่า จะไม่ยอมปล่อยให้นางลอยนวล
นั่นเพราะนาง คือ ระเบิดเวลา ของระบอบเผด็จการทหาร
ทันทีที่ปล่อยนาง ย่อมหมายถึง การถอดสลัก ของระบอบประชาธิปไตย ที่ถูดอัดอั้นมาช้านาน
นานเท่ากับที่นางถูกกักอิสรภาพ

ซูจี ในวัย 64 ปี นับไปอีก 10 ปีจากนี้ หากนางยังมีลมหายใจ ก็จะมีอายุ 74 ปี ถามว่านางจะมีพลังวังชาสำหรับการใด เพื่อประชาธิปไตย นี่อาจจะเป็นมุมคิดของผู้นำเผด็จการพม่า ที่นำไปสู่การกักขัง หน่วงเหนี่ยว ผู้หญิงร่างเล็ก หัวใจใหญ่

หากมีใครถามฉันว่า ถ้าคุณจะยกย่องใครสักคน “ใคร” คือ คนแรกสุดที่คุณนึกถึง ฉันคงตอบว่า...อองซาน ซู จี
แม่ดอกไม้เหล็ก ของฉัน





สิ่งที่น่าคิดตามมาจากกรณีของนางซูจี นั่นคือ เกิดอะไรขึ้นกับประชาชนของประเทศนี้ พวกเขาถวิลหาประชาธิปไตยกันจริงหรือ ?
เหตุใด การเรียกร้องประชาธิปไตย จึงให้ “หญิงร่างเล็ก” ผู้นี้ออกหน้ารับผลกระทบอยู่ร่ำไป ราวกับว่าเมื่อขาดนางแล้ว อย่าหวังว่า ประชาธิปไตย“เต็มใบ”ในดินแดนแห่งนี้จะบังเกิด
รัฐบาลเผด็จการทหารพม่า คิดเช่นนั้นหรือไม่
จึงท้าทายประชาชนของตนเอง ด้วยการยอมอ่อนข้อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ในปีหน้า แต่กลับไม่ยินดีที่นางซูจีจะเข้าไปมีส่วนร่วม
ขณะที่การเรียกร้องประชาธิปไตย เรากลับได้ยินเสียงจากเพื่อนร่วมโลก ที่ดังก้องกลบเสียงคนในชาติเดียวกับนาง

ใครคือตัวตาย ตัวแทน ของนาง ในดินแดนปากแม่น้ำอิรวดี แห่งนี้

เราขอเรียกร้อง ความกล้าหาญ จากคนพม่าต่อการจัดการปัญหาประชาธิปไตยในประเทศของตัวเอง
เราขอเรียกร้อง “ใครอีกหลายๆคน” ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ผู้นำที่กล้าหาญ ผู้นำนอมินี แทนนางให้เต็มเมือง

นั่นคือการปลดปล่อยที่แท้จริง
ไม่เพียงปลดปล่อยนาง

แต่คือการปลดปล่อยพันธนาการความคิด ต่อ ประชาธิปไตย ของคนพม่า ต่างหาก

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สงสารแต่แม่ “ปลาบู่”

นิทานปรำปราพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทอง ที่ถูกนำมาทำเป็นหนังจักรๆวงศ์ๆ ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ แม้แต่ตอนนี้ก็กำลังออกอากาศยามเช้า ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ เรื่องราวบอกเล่าถึงเด็กหญิงชาวบ้านผู้มีใจเมตตา ในตอนท้ายของเรื่องได้แต่งงานกับกษัตริย์

เรื่องย่อมีอยู่ว่า...เศรษฐีทารก (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) มีอาชีพจับปลา เขามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา มีลูกสาวชื่อ เอื้อย ส่วนภรรยาคนที่สอง (ตัวร้ายของเรื่อง) ชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวชื่อ อ้าย และ อี่

วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน แต่ขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป

เศรษฐีทารกเกิดบันดาลโทสะเลยฟาดนางขนิษฐาจนตาย ทิ้งศพลงคลอง จนนางไปเกิดใหม่เป็นปลาบู่ทอง ฯลฯ
ขณะที่เอื้อยลูกสาวนางขนิษฐา ก็ถูกขนิษฐีและลูกสาวกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ เพราะไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นเอื้อย สื่อสารกับปลาบู่ทองผู้แม่

จะว่าไปแล้ว นิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ “เอื้อย” และแม่ ที่มีแต่เรื่องรันทด ชวนสงสาร เข้าตำรานางเอกหนังไทยย้อนยุค

แต่นิทานพื้นบ้านกลับไม่ได้จบลงแค่ในตำนาน (ซะแล้ว)





ใครจะรู้ว่า การเข้าถึงอารมณ์ (Emotional)ของผู้ที่ได้รับฟังเรื่องราว จะสะท้อนไปสู่เรื่องทางการตลาดของ “ปลาบู่”

หลายปีก่อน ฉันได้มีโอกาสร่วมกับคณะสื่อมวลชน ไปดูงานการเลี้ยงปลาบู่เพื่อการพาณิชย์ ที่จังหวัดไหนจำไม่ได้แล้ว ตามคำเชิญของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่ปล่อยกู้ให้กับบรรดาเอสเอ็มอี

นอกจากขั้นตอนการเพาะเลี้ยงที่ต้องซักถามกันแล้ว เรื่องที่ต้องถามต่อมา คือ ศักยภาพในการทำตลาดปลาบู่
กี่ฟาร์มๆ ที่ไปถาม ก็มักจะได้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขามักจะเลี้ยงเพื่อส่งออกไปยังตลาดจีน และประเทศที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียง อย่างเกาหลี ไต้หวัน มากกว่าจะขายในประเทศ

เลยชวนสงสัยว่า “ทำไม” (ค่ะ) คนไทยถึงไม่ชอบกินปลาบู่ เพราะถ้าจะพูดถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของภาพลักษณ์ไอ้เจ้าปลาบู่แล้ว ไม่ว่า คนไทย คนจีน ฯลฯ ก็คงคิดเหมือนกัน ว่ามันเป็นสัตว์ที่ไม่ชวนมอง ไล่มาตั้งแต่เนื้อตัวที่ดำเหมือม หน้าทู่ๆ แถมยังเป็นปลาขี้เกียจเพราะไม่ชอบว่ายน้ำ แถมชอบทำตัวลับๆล่อๆ หลบอยู่หลังขอนไม้อยู่ได้ จนคนดูต้องเอาหน้าไปใกล้ๆ ถ้าต้องการจะหา “ปลาบู่” สักตัว

Hii..where are you boy?

กว่าจะรู้ตัวอีกทีเจ้า “ปลาบู่” ก็อยู่ในระยะประชิด เล่นเอาตกใจไม่หาย !

กลับมาที่คำตอบที่ได้รับจากคำถามที่ว่า...ทำไมคนไทยไม่ชอบกินปลาบู่

“ก็เพราะคนไทยจะสงสารแม่ปลาบู่ทอง สิหนู” ลุงเกษตรกรคนหนึ่งตอบเสียงดังฟังชัด ด้วยภาษาบ้านๆ

คำตอบนั้น ทำเอาฉันถึงกับ อึ๊ง กิม กี่ (อ๋อ เหรอ ค่ะ อิอิ )

จะขำก็ขำไม่ออก จำต้องกลั้นไว้ ก่อนจะหามุมสงบๆ โทรมาขำจริงๆจังๆ กับคนพี่ออฟฟิศ

ไม่รู้เหมือนกันว่า มีแบบนี้ด้วย

มันเลยทำให้ฉันพลอยขยาดปลาบู่ ไปด้วย

ผ่านการดูงานช่วงเช้า ถึงเวลาอาหารกลางวัน เมนูที่แทบไม่มีใครแตะต้อง นั่นคือ เนื้อปลาบู่เจี๋ยน สีขาวนวล น่าเจี๊ยะ เพราะถูกแปลงโฉม แร่เอาหนังออกแล้ว แต่กลับเหลือบานเบลอะแทบทุกโต๊ะ

แหม ถ้าไม่ทันฟังคำตอบจากคุณลุง ล่ะก็....

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะ(ราตรีสวัสดิ์)

“ธรรมสวัสดี” เป็นคำฮิตที่แม่ชีรูปหนึ่ง มักใช้ทักทายผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมย่านรามอินทรา ที่มีลูกศิษย์ลูกหา อุ่นหนาฝาคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

ฉันและเพื่อนก็เป็นคนหนึ่งที่อยาก (ลอง) ไปปฏิบัติธรรม สักครั้ง !
ฮิตกันนัก เผื่อจะดี
ในฐานะชาวพุทธคนนึง ไม่เชื่อย่อมไม่หลบหลู่ แม้ฉันจะรู้สึกอยู่ลึกๆเหมือนกับหลายคนว่า

ธรรมะนั้นอยู่ที่ใจ หาใช่สถานที่ปฏิบัติธรรม ไม่

ครั้งนั้น ฉันและเพื่อน รวมอยู่กับหมู่มวลผู้ปฏิบัติธรรมที่มาจากหลายสารทิศ
อย่างที่รู้ๆกัน การปฏิบัติธรรม ประกอบด้วย การร้องเพลงสวดมนต์(มีทำนอง)ซึ่งสวดเป็นภาษาสันสกฤตพร้อมแปลเป็นภาษาไทย แผ่เมตตา นั่งสมาธิ เดินจงกรม ฝึกโยคะ ถือศีล8 (กินอาหารวันละ 2 มื้อ) นอนปฏิบัติธรรมกลางแจ้ง ฯลฯ

ฉันสังเกตจากแววตาของผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ล้วนเป็นผู้มีความมุ่งมั่น ยกเว้นก็แต่ฉัน (ล่ะมั่ง)
ที่ต้องบอกว่า ปฏิบัติแบบไม่อิน เพราะฉันมักจะ “ตั้งคำถาม” ในเกือบทุกกิจกรรม โดยเฉพาะกิจกรรมสวดมนต์ แม้จะพยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ค้านอยู่ในทีว่า ทำไมต้องตื่นแต่เช้า มานั่งสวดมนต์ให้ยุงกัน ปวดขา ฯลฯ (ถ้าฉันเป็นไข้เลือดออก ไม่รู้จะถามหาความรับผิดชอบจากใคร)
บทแปลก็หาใช่ จะทำให้ฉันซึมซับกับเนื้อหาที่ว่าด้วยเรื่อง “พระพุทธเจ้ากับประดาสาวก” ที่มักขึ้นต้นว่า "ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ...ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับคารวาท ตรงไหน"






ตามมาด้วยความหงุดหงิด กับที่หลับที่นอน ที่ต้องแย่งกันอาบน้ำ เจอะเจอสัตว์ประหลาด (กิ้งกือ) ต้องนอนใกล้คนนอนกรน และห้องนอนรวมที่ร้อนสุดๆ จนต้องรอขอให้แม่ชีช่วยเปิดแอร์

ทว่า นี่คือการปฏิบัติธรรม ที่ทุกคนจำต้องรู้จัก “น้ำอดน้ำทน” ไม่ใช่หรือ
เรียกว่า...ธรรมะ สามารถให้เหตุผลสำหรับทุกสิ่งที่เราไม่ชอบใจ ไม่ว่าคุณจะร้อน เหนื่อย เมื่อยล้า อึดอัด สักปานใด
ต้องไม่หงุดหงิด ยิ้มไว้เท่านั้น นะลูก

“วันแรก” สำหรับฉันผ่านไปด้วยความยากเย็น กว่าจะถึงวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม ที่ทำให้ฉันถึงกับ “ตบะแตก” ทั้งๆที่ยังไม่ได้บวชเป็นชี

กับการฟังธรรมะเกี่ยวกับความเอื้ออาทรระหว่าง สามีกับภรรยาที่ตั้งครรภ์ รอวันที่เทพธิดาน้อยมาจุติ
คู่สามี-ภรรยา คู่แล้วคู่เล่า เดินเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ บางคู่ก็พาลูกเล็กมาวิ่งซนในสถานที่แห่งนี้ ดูเป็นภาพที่น่ารัก น่าชัง น่าหยิก ฯลฯ
แต่ไม่ใช่ “สำหรับฉัน”
ที่รู้สึกถึงความ “แปลกแยก” ที่ต้องมานั่งฟังธรรมร่วมกับการทำกิจกรรมสามี-ภรรยาตั้งครรภ์ ที่ฉันไม่สนใจ ซักนิด เพราะปวารณาตัวว่า ชาตินี้ถ้าไม่เป็นโสด มีคู่ก็ขออยู่แบบไม่มีห่วงผูกคอ ให้เกิดมาแบกรับความทุกข์กับสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน

นอกจากการฟังธรรมเรื่องที่ว่าแล้ว ยังมีการเปิดเพลง สามีลูบท้องภรรยา หลายคนยิ้ม แต่ฉัน “ไม่”
การหลบไปนั่งเย็นใจ นอกขันธสีมาของลานฟังธรรม จึงเกิดขึ้นกับฉัน
แต่ไม่เกิดขึ้นกับเพื่อนของฉัน ที่ถึงอารมณ์กับกิจกรรมสามี-ภรรยา จนตาแดง น้ำตาซึม (จริงๆนะ)

หมดช่วงเช้าของกิจกรรม ฉันบอกกับตัวเองว่า นั่นคือช่วงสุดท้ายของการปฏิบัติธรรมของ “คนบาป” ที่ไม่ได้ชั่วร้ายอย่างฉัน
อาการยื้อยุดฉุดกระชากของเพื่อน เพื่อให้ฉันอยู่ปฏิบัติธรรมต่อ จึงเกิดขึ้น
แต่มันหาได้ทำให้ฉันเปลี่ยนใจ
คุณคงนึกออกถึง “ผลลัพธ์” ของการปฏิบัติธรรมของฉันกับเพื่อน ที่ต้องสวมคอนเวิร์ด

ธรรมะ (ราตรีสวัสดิ์) ค่ะ

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แตรมรณะ

ฉันไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับฉัน!!!
แต่มันได้เกิดขึ้นแล้ว และยังคงหลอนในความรู้สึก ทุกครั้งที่คิดถึง
คุณเคยนั่งแท็กซี่กลับบ้านในยามค่ำคืน และนึกหวั่น กับการนั่งอยู่กับคนแปลกหน้า ที่เรียกตัวเองว่า “โชเฟอร์” บ้างไหม ?
ยิ่งคุณเป็นมนุษย์ที่ถูกตีตราแต่กำเนิดว่าเป็น “เพศหญิง”
ที่แม้จะเข้มแข็งอย่างไร แต่โดยสรีระ แพ้ความเป็น “ชาย” อยู่วันยังค่ำ

เหตุเกิดขึ้นในดึกวันหนึ่ง ที่ฉันเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน บวกฟิตเนส (สารภาพ)
เกิดอยากให้รางวัลชีวิต “เล็กๆ” ด้วยการนั่งรถ “แท็กซี่” แทนรอคอยรถประจำทาง ที่ชาติหนึ่งจะมาสักคัน ฉันนึก
“แพงกว่า ก็ยอม งานนี้”
แม้จะลังเลอยู่ที่ป้ายรถเมล์สักพัก ตามประสา “คนงก”
แต่สุดท้าย ก็ไม่วาย ตัดใจเปิดประตูรถแท็กซี่ ที่จ่ออยู่หน้าป้ายรถเมล์
และแล้ว ความงก ก็พ่ายแพ้ความเหนื่อยอ่อน จนได้สิน่า !!!

“พี่ไปแยกเทพารักษ์”
โชเฟอร์ พยักหน้า เป็นการเชื้อเชิญให้ขึ้นรถ
พลันที่แท็กซี่ “เขียวเหลือง” ทยานออกจากป้ายรถเมล์
ตามด้วยบทสนทนาแรกของโชเฟอร์ว่า...






“วันนี้มีปล้นติดกัน 3 ครั้งที่ซอยอ่อนนุช ป่านนี้โจรเอาเงินไปนอนกอดสบายฉิบ”
“อ๋อ เหรอ ก็อย่างนี้แหละ เศรษฐกิจไม่ดี” ฉันตอบ

“พี่รีบไหม” โชเฟอร์ รุกต่อ
นาทีนั้น ความคิดผุดขึ้นว่า…
“ฉันแก่อย่างนั้นเชียวหรือ ดันมาเรียกพี่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้เอี้ยวมาดูหน้าฉันสักนิด”
โถ ชีวิตสาวโสด วัย 30 กว่าๆ ฉันตัดพ้อ
นึกในใจต่อว่า…
“รีบสิว่ะ ไม่รีบจะขึ้นรถ---เหรอ”

แต่ตอบกลับไปอย่างสุภาพคำเดียวสั้นๆว่า “รีบ” ตามประสาคนสงวนถ้อยคำ
2 นาทีที่ความเงียบเข้าครอบงำ
ก่อนบทสนทนาของโชเฟอร์จะรุกต่อ เพื่อขอเติมก๊าซเอ็นจีวี และฉันก็ใจอ่อนจนได้
ตามประสาคนขี้เกรงใจ
พวงมาลัยหักเลี้ยวซ้าย เข้าปั๊มเอ็นจีวี

บรรยากาศในปั๊มแห่งนั้น ต้องบอกว่า “นรก” สิ้นดี ฉันนึก
ช่างแตกต่างจากปั๊มน้ำมันปกติ เพราะสถานที่แห่งนั้นมีแต่บรรดาโชเฟอร์แท็กซี่ และเด็กปั๊ม
ที่ออกอาการ “หื่นกาม” อย่างเห็นได้ชัด จินตนาการบรรเจิดบอกตัวเองเช่นนั้น
ทั้งสายตา และท่าทาง ของพวกมัน

ปัญญาชนมีบ้างไหมเนี่ย !!! ฉันตะโกนก้องอยู่ในใจ
นั่งอยู่ในรถอย่างคนหายใจไม่ทั่วท้อง
ใจนึกจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร อย่างไร อย่างไร และอย่างไร
คิดไม่ออกวู้ยยยย

สักพัก เด็กปั๊มคนหนึ่งเดินมา “บีบแตร” รถที่ฉันนั่ง ทำสติฉันกระเจิด กระเจิง
ใจฉันระทึก ตอนนั้นนึกปลอบใจตัวเองว่า เป็นเทคนิคอะไรหรือป่าว
...ที่จะอัดก๊าซลงในถัง !!!
โถ ช่างคิด ตามประสาคนมองโลกในแง่ดี
นั่งอยู่ในรถต่อไป ภาวนา ขออย่าให้เกิดอะไรกับฉัน
โอวว พระเจ้าช่วยกล้วยทอด !!!
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง
ทันทีที่รถพุ่งออกจากปั๊ม
“พี่จอดคาร์ฟูร์” (จริงๆอยากกลับบ้านมากกว่า) ฉันเล่นมุกกับโชเฟอร์ ก่อนจะรู้ตัวว่าคาร์ฟูร์ที่ว่าเลยมาแล้ว
พูดไปเพราะเริ่มขาดสติใคร่ครวญ
จำใจ ใจดีสู้เสือ

“งั้นไปแยกเทพารักษ์เหมือนเดิม”
โชเฟอร์เหมือนจะจับพฤติกรรมฉันออก เพราะฉันโทรศัพท์หาเพื่อนแบบไม่วางสาย บอกปลายสายไปอย่างชัดๆว่า อยู่บนแท็กซี่ แบบ 5 W 1 H (Who What When Where Why How) แม่นเปรี๊ยะตามประสาคนข่าว
พลางบอกโชเฟอร์นรก ให้เข้าเลนใน ใจนึกอย่างน้อยก็ “บล็อก” ไม่ให้เลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวข้างหน้า
สุดท้ายก็กลับบ้านอย่างปลอดภัย
สูดดดด.... หายใจเข้า-ออกลึกๆอย่างโล่งอก
!? !? !? !? !?

เมื่อมีเวลานั่งย้อนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อ 5 นาทีที่ผ่านมาอย่างไม่แล้วใจ
คิดไปเองรึป่าว สติแตกไปเองรึป่าว มั่วไปเองรึป่าว
ตอบตัวเองว่า…
มันคือ “เกมชิงไหวชิงพริบ” ระหว่างฉันกับโชเฟอร์
ที่มี “นาทีชีวิต” (ของฉัน) เป็นเดิมพัน
บ้าฉิบ...
ถ้า (มัน) ชิงลงมือก่อน ตูคงแย่
แต่ฉันรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
อ๋ออออออออ อย่างนี้นี่เอง ปัดโธ่ !!!

ฉันเรียกสติคืนมา เมื่อนึกถึงราคาเอ็นจีวี รำลึกวิชาคณิตศาสตร์ชั้นประถม เริ่มคำนวณราคา
“เอ็นจีวี กก.8.50 บาท เติมเต็มที่ 20 กก.ตามน้ำหนักบรรทุก ราคาก๊าซเต็มถังอย่างเก่งก็ไม่เกิน 200”
แม่เจ้า !!! หัวจ่ายก๊าซที่ฉันเห็นเมื่อกี้ ทยานไปพันกว่าบาท ด้วยขนาดบรรจุราว 45 ลิตร
เสียรู้ๆ เปราะแรก ฉันทบทวน
แล้วบีบแตร ทำไมฟ่ะ ฉันนึก
อ๋อออออ เสียรู้เปราะที่สอง
ที่แท้มันคือ “แตรมรณะ” ที่เด็กปั๊มบีบเป็นสัญญาณ เพื่อเรียกพรรคพวกมาดู “เหยื่อ” รายใหม่ อย่างฉัน
ที่ถูก “ล้อมกรอบ” จากบรรดาเด็กปั๊ม ในเชิงกระหยิ่มยิ้มย่อง
สายตาพวกมัน อ่านความหมายได้ว่า…เสร็จตูแน่ๆ
ไม่มีกลไกแมคคานิกใดที่จะตอบสมมติฐานเดิมของฉัน
“บีบแตร” เพื่อเพิ่มขนาดบรรจุก๊าซ
ตัวสั่นกว่าเดิม ถามตัวเองว่ารอดมาได้อย่างไร

นี่คือ…
พฤติกรรมตามประสาคนงก คนสงวนถ้อยคำ คนขี้เกรงใจ และคนมองโลกในแง่ดี
ที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ
โชคดีที่ฉันยังประคองตัวเองกลับมาได้
อย่างคนมีใบหน้าเป็นอาวุธ
สงสัยโชเฟอร์กลัวได้ไม่คุ้มเสีย
งานนี้ตลกไม่ออกจริงๆ
“แท็กซี่ กับ ฉัน” คงเป็นอริกันไปอีกนานแสนนาน

นายสติ บอกกับฉันเช่นนั้น

ฟองเต้าหู้

หัวใจฉันหล่นวูบในทันทีเมื่อรู้ข่าวจากยายจันทร์ เจ้าของแผงขายดอกไม้ในตลาดศรีเทพา ใกล้สี่แยกเทพารักษ์ว่า หนุ่มใหญ่วัย 30 เศษ ที่ยืนขายน้ำเต้าหู้อยู่ข้างแผงขายดอกไม้ของยายจันทร์ เพิ่งถูกรถสองแถวแดง ที่วิ่งรับ-ส่งคนในละแวกนั้นชนเข้าอย่างจังเมื่อเช้ามืด

ก่อนที่จะทันได้เสริฟน้ำเต้าหู้ร้อนๆ ให้กับลูกค้าขาประจำเหมือนเช่นเคย

“อ้าว...ยายจันทร์ วันนี้พี่น้ำเต้าหู้ไม่มาขายเหรอ” ฉันถาม หลังเหลือบมองพื้นที่ว่างเปล่า อดเสียดายเล็กๆ ไม่ได้ว่า...ชวดอีกแล้วสิเรา

“โอ๊ย...เฮียโก๋ นะเหรอ....” ยายจันทร์ทำท่าครุ่นคิด ก่อนจะพรั่งพรูคำพูดออกมาว่า...




“น่าสงสารคนทำมาหากิน ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ เมื่อเช้ามืดมันโดนสองแถวชน ตรงสี่แยกนี่แหละหนู ตีนผีชัดๆ...ไอ้จ้อยมันเพิ่งไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลมา เห็นว่าอาการโคม่า เป็นตายเท่ากัน”

วินาทีที่สมองฉันประมวลเรื่องราวที่ยายจันทร์บอกเล่าได้...ฉันได้แต่นิ่งงัน เหมือนหยุดเวลา ลำคอรู้สึกถึงความแห้งผาก เหมือนมีลูกกลมๆอะไรสักลูกจุกอยู่ที่คอ

............!!!

ก่อนจะตั้งสติได้ เดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ เพื่อรอรถสาย 145 พาหนะที่นำฉันไปที่ทำงานย่านบางนาตราด

แปลกอยู่ตรงที่ว่า...ช่วงเวลาที่ก้าวเดินช่างเนิ่นนานในความรู้สึก ไม่เหมือนทุกวันที่ฉันมักจะเดินอมยิ้ม หลังจากซื้อน้ำเต้าหู้ 2 ถุงจากร้านเฮียโก๋

“น้ำเต้าหู้ 2 ถุงไม่ใส่เครื่อง” เป็นประโยคเด็ดที่ฉันพูดเกือบทุกเช้า คล้ายเป็นกิจวัตรประจำวัน แม้บางวันฉันจะไม่นึกอยากกินน้ำเต้าหู้ฝีมือเฮียสักนิด

...แต่มันคือความผูกพัน ถ้าไม่ได้พูดประโยคนี้เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง...ฉันคิด

เหมือนวันนี้ เฮียจะเป็นอย่างไรบ้าง

ความคิดฉันสะดุดลง เมื่อรถเมล์สาย 145 วิ่งมาจอดเทียบที่ป้ายรถเมล์

โชคดีของคนโดยสารรถเมล์...ฉันได้ที่นั่งริมหน้าต่าง ไม่วายจมอยู่ในความคิดเรื่องเฮียโก๋

“ทำไมฉันต้องห่วงเฮียโก๋ขนาดนั้น” ฉันรำพึงในใจ

“ไม่...ไม่ใช่ตัวเฮีย แต่เป็น ฟองเต้าหู้ ของเฮียต่างหาก”

พักหลังที่ฉันไปซื้อน้ำเต้าหู้ ฉันสังเกตถึงความพยายามสุดฤทธิ์ของเฮียที่จะควานหาฟองเต้าหู้ เส้นใยบางๆที่เคลือบอยู่บนสุดของน้ำเต้าหู้ให้ฉัน

ฉันสัมผัสได้ว่า...ในความรู้สึกของเฮีย ฟองเต้าหู้คือส่วนที่ดีที่สุดของน้ำเต้าหู้สักหม้อ

เฮียได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ฉัน โดยที่เฮียไม่จำเป็นต้องบอกเล่า

...แต่ฉันสัมผัสได้

รถเมล์คันที่ฉันนั่ง หยุดติดสัญญาณไฟแดงตรงแยกโรงพยาบาลที่เฮียนอนป่วยอยู่

ฉันไม่วายเหลือบมองดูโรงพยาบาล ที่ตั้งอยู่ลึกเข้าไปจากสี่แยก 200-300 เมตร

ไวกว่าความคิดจะก้าวลงจากรถเพื่อไปเยี่ยมเฮียโก๋ รถเมล์คันที่ฉันนั่งก็ทยานออกจากสี่แยก

...ว้า !!! ไม่ทันเสียแล้ว

ทันใดนั้น ความคิดก็ผุดขึ้นมาตอบโต้กับความคิดแรกว่า...

ไม่ทันสำหรับอะไร ?
…สำหรับป้ายนี้!!!

ฉันอดนึกขอบใจโชเฟอร์รถเมล์ที่พุ่งรถออกจากสี่แยกตามสัญญาณไฟเขียวไม่ได้ เพราะมันทำให้ฉันได้คิด !!

ฉันเดินอาดๆ มากดกริ่ง หลังรถเมล์แล่นเลยจากสี่แยกมาได้สอง-สาม ป้ายรถเมล์ เพื่อลงจากรถ ก่อนจะโบกมือเรียกแท็กซี่ อย่างไม่คิดเสียดายสตางค์เหมือนก่อน

“พี่ๆ ไปโรงพยาบาล....ฉันบอกชื่อโรงพยาบาล”

แท็กซี่จอดเทียบหน้าประตูโรงพยาบาล ไม่ทันที่บุรุษพยาบาลจะมาเปิดประตูรถ ฉันก็พาตัวเองไปที่เค้าน์เตอร์บริการสอบถาม
ก่อนจะรู้ว่าเฮียพักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน

ฉันผลักประตูเข้าไปเยี่ยมอาการเฮียโก๋อย่างร้อนรน

ไม่ต่างจากภาพที่ฉันคิด เฮียโก๋อาการเพี้ยบแปล้

ทว่า...ยังมีลมหายใจรวยริน

เฮียเปิดเปลือกตามามองฉันพร้อมด้วยรอยยิ้ม เฮียทำเหมือนเดิมคือไม่พูดอะไร แต่ฉันสัมผัสได้

เหมือนฟองเต้าหู้ ที่จะฟูในใจฉันทุกครั้งที่คิดถึงเฮีย

บ่ายแก่ๆ ของวันเดียวกัน เฮียโก๋ก็ลาโลกไปอย่างสงบ กับแผงขายน้ำเต้าหู้ที่ปิดร้าง

วัน...สองวัน...สามวัน....สี่วัน ฯลฯ

หนักเข้า..ยายจันทร์เลยถือโอกาสขยายแผงขายดอกไม้ให้กว้างขวางขึ้น...กลบอดีตของฉันเสียมิด

โชคดีที่ฉันได้บอกลาเฮียโก๋ เป็นครั้งสุดท้าย

ขอบคุณรถเมล์สาย 145
ขอบคุณฟองเต้าหู้

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เสธ...หนั่น (ที่รัก)

ณ กองบรรณาธิการแห่งหนึ่ง คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ลำพังพนักงานกันเองก็จำหน้าไม่หวาดไม่ไหว ไหนจะมีคนแปลกหน้าเข้า-ออก กันมากมาย

ใครจะไปจำได้ว่าใครเป็นใคร หากไม่ใช่ภารกิจที่ต้อง “จำ จำ และ จำ” อย่างจำใจหรือไม่ (ไม่ทราบ)ของ….พนักงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.)หรือ พี่ยาม

ที่ช่างจำแม่นเหลือแสน

โดยเฉพาะ…ชายคนนี้

"หวัดดีครับคุณอ้วน หวัดดีครับคุณแอ๋ม หวัดดีครับคุณสุ หวัดดีครับคุณนาฏ หวัดดีครับคุณนุ้ย หวัดดีครับคุณหนู หวัดดีครับคุณจ้า ฯลฯ หวัดดีครับๆๆๆๆๆๆๆๆ"

"มาหาใครครับ แลกบัตรที่ตึกโน้นก่อนนะครับ

“อ๋อ เชิญชั้น 4 ครับ ผมเห็นพี่เค้าเพิ่งมา"



เสียงประจำของ “สนั่น” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ เสธ…หนั่น” บอกเราเช่นนั้น

เดือนก็แล้ว ปีก็แล้ว กลายเป็นเสียงที่คุ้นเคย ทุกครั้งที่ต้องมายืนแหมะเพื่อรอลิฟต์ไต่ลงมารับอย่างเชื่องช้า วิ่งมาระยะเผาขน ลิฟต์จวนจะปิดอยู่ลอมล่อ

เสธหนั่น คือ “ฮีโร่” ตัวจริง ที่ผลุนผลัน กดลิฟต์เพื่อรอคนวิ่งกระหืดกระหอบคนนั้น

บางวันก็คือ ฉันเอง

บ่อยครั้งยืนรอนานเข้า ก็ถือโอกาสยืนคุยกับเสธหนั่น เพื่อฆ่าเวลา

คุย จุ๊บ จิ๊บ ไปเรื่อย หันมาอีกที ลิฟต์ก็มาแล้ว


"อ้าว วันนี้เสธ ไม่มาเหรอ ???”

ฉันถามพี่ยาม (อีกคน) ที่มาปฏิบัติหน้าที่แทนในวันนั้น

ก่อนจะได้รับฟังคำบอกเรา ที่ช็อกความรู้สึก

“เสธอยู่ไอซียู ถูกหามเข้าโรงพยาบาลเมื่อเช้า เส้นเลือดในสมองตีบ อาการเป็นตายเท่ากัน แกมีอาการสะอึก กินไม่ได้ ต้องให้อาหารทางสายยาง"

ข่าวนี้แพร่ไปรวดเร็ว เพราะ (แทบ) จะทุกคนในตึกนั้น ไม่มีใครไม่รู้จักเสธฯ

…ที่แม้จะต่ำต้อยโดยหน้าที่ แต่ “ยิ่งใหญ่” ในความรู้สึกของผู้คนที่รู้จักเค้า

คนที่ได้ฟังคำบอกเล่า ถึงเสธฯ ก็สงสารแกทั้งนั้น

“อายุก็ยังไม่มาก ทำไมอยู่ๆเป็นโรคนี้ แกมีลูกด้วยนิ ออฟฟิศให้สวัสดิการช่วยเหลือยังไง”

กลายเป็นคำถามที่คนอยากรู้

ตามมาด้วยการ “เรี่ยไรเงิน” เพื่อช่วยเหลือ ไปเยี่ยม และติดตามอาการป่วยของแก หวังว่าจะดีขึ้น เพื่อกลับมาปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง

ประหนึ่งมิตร ญาติสนิท

บางช่วง ต้องนั่ง “ลุ้น” อย่างใจจดจ่อว่า แกจะรอด-ไม่รอด

สองเดือนผ่านไป กว่าจะสรุปว่า แกรอด(ตาย)

แต่ไม่เหมือนเดิม

…. ภาพอดีต ไม่มีวันหวนกลับมาได้อีก

หวัดดีครับ หวัดดีครับ ไม่มีเสียงนี้ให้ได้ยินอีกแล้ว

หรือแม้จะมีพี่ยามคนอื่น จะพยายามพูด แต่ของอย่างนี้ “แทน” กันไม่ได้

ระหว่างคนที่ใช้ “ปากพูด” กับ คนที่ใช้ “ใจพูด”

หรือที่ภาษาปะกิต เรียกว่า…เซอร์วิส มายด์

เสธหนั่น แปลคำนี้ไม่ออก

แต่กลับปฏิบัติมันได้ “เกินร้อย”

…ยามหัวใจบริการ ฉันแอบตั้งฉายา

และบอกกับตัวเองว่า ถ้าแกไม่ประมาทในการใช้ชีวิต ด้วยการเป็นนักดื่ม

อนาคต คงจะเดินมาถึงช้ากว่านี้ หรืออาจไม่มีวันนั้น

วันที่แกนอนแหมบอยู่บนเตียงคนป่วย

สะอึก

ให้อาหารทางสายยาง