วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ต้นไม้ต้นไร่


มะพร้าวทะเลทราย



รวมมิตรหมู่




ช้องนางคลี่




เป้าหมายมีไว้พุ่งชน




เฟิร์นสายพันธุ์มนุษย์




หางยาวๆ คือ หางสิงห์




งอกอ งอขิง




กล้วยเอ๋ย กล้วยไม้




เฟิร์นสองหัว




กล้วยไม้ 3 สี (ตรงไหน ?)

ฟ้า จ๋า ฟ้า


สายไฟ "ฟ้า"




ละเลงสี ระเริงใจ



ทะมึน



แสงฟ้า




ลิบๆลับๆ




เมฆหมอก




แล้วเราก็จากกัน




แขวนตะวัน ที่พระราม 8




ระบำก้อนเมฆ




วาบแสง




คลืบคลาน




พิโรธ




มิอาจกั้น




วิงวอน





ตะวันชิงพลบ




บ๊ายบายชาวโลก




บางปูรำลึก




ชักรอกแสง




จูนแสง



Photo + wording by ... Alex

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

new year's resolutions

ปีใหม่แล้ว อธิฐานสิจ๊ะอยากได้อะไร

โอม... เพี้ยง...!

ทุกๆปีใหม่ ก็จะคอยถามตัวเองว่า ปีใหม่แล้วอยากทำอะไรใหม่ๆให้กับตัวเอง อยากเปลี่ยนตัวเองยังไง

แต่สังเกตไหมว่า ทุกครั้งที่ตั้งเป้าหมายอะไรไว้ น้อยครั้งที่จะบรรลุเป้า

อาจเป็นเพราะหัวใจเราไม่แข็งแรง

ปีใหม่นี้ เป้าหมายของฉัน เลยขอขันชน็อก "ผูกเงื่อนตาย" ชนิดที่ดิ้นไม่หลุด บวกกับ ใจที่แข็งแรงขึ้นตามอายุ

ห่ะน่ะ...อย่ารู้เลยว่าตั้งเป้าอะไร

บอกแต่ว่า ไม่มีไรมาก ก็แค่เป้าหมายเดิมๆ ที่อยากทำ ก็ยังอยากทำให้ได้อยู่นั่นแหละ

-----







ปีเก่าผ่านไป ในแง่มุมการงาน รู้สึกว่าผ่านไปเร็วจัง เหมือนรถวิ่งทางเรียบ เหยียบคันเร่งปรี้ดเดียว ก็เดือน 12

โบนัสได้นิดเดียว แต่งานก็ไม่ได้มากมาย

ถือว่า "เสมอตัว"

ในแง่มุมชีวิต ปีที่ผ่านมา ต้นปีรู้สึกลุ่มๆดอนๆ บางช่วงเหมือนคนขับรถตกเหว กลางปีเหมือนกำลังไต่จากเหว ปลายปีรถก็พุ่งพ้นปากเหวมากได้แบบหวุดหวิด

ต้องซ่อมรถ คนต้องรักษา เสียตังค์ไปแยะ... เพราะไม่รู้จักทำประกัน

แต่กำลังใจดี


ไม่ได้ขับรถเป็น แต่เปรียบเทียบแบบนี้ เห็นภาพดี

------------------
ปีนี้ น่ะเหรอ

การงานทำท่าว่าจะติดสปีดตั้งแต่ต้นปี เหมือนรถเครื่องแรง แต่คนขับไม่ชินทาง ยังไม่รู้ว่าจะวิ่งไปเจอทางเรียบบนสนามแข่ง หรือ ต้องปรับไปใช้เกียร์โฟว์วิวขึ้นเขา

ชีวิต ทำท่าว่าจะลุ่มๆดอนๆ ต่อไป เสียแต่กำลังใจที่หดหายไปแยะ


ชีวิตคือความไม่แน่นอน

จากนี้ไปอะไรก็เกิดขึ้นได้ ก้อนอิฐ หรือ ดอกไม้


ว่าแต่ .....เราผ่านปีใหม่มากี่วันแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

“ออง ซาน ซู จี” เธอคือ ระเบิดเวลา

ในที่สุดศาลพม่าก็ตัดสินคดีให้นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในพม่า วัย 64 ปี ต้องโทษถูกกักขังในบ้านของตัวเองนาน 18 เดือน ฐานที่ปล่อยให้นายจอห์น ยิตตอว์ ชายชาวสหรัฐ ว่ายน้ำข้ามทะเลสาบอินเลย์ เข้าไปหานางซูจี ถึงบ้านพัก เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา

ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุนนางซูจี ระบุว่า การตัดสินเช่นนี้เพราะรัฐบาลทหารพม่าต้องการกีดกันนางซูจี ออกจากการเลือกตั้งทั่วไป ที่จะมีขึ้นในปีหน้า

นี่คือ ชะตากรรมของนาง
ที่ฟันธงได้ว่า รัฐบาลทหารพม่า จะไม่ยอมปล่อยให้นางลอยนวล
นั่นเพราะนาง คือ ระเบิดเวลา ของระบอบเผด็จการทหาร
ทันทีที่ปล่อยนาง ย่อมหมายถึง การถอดสลัก ของระบอบประชาธิปไตย ที่ถูดอัดอั้นมาช้านาน
นานเท่ากับที่นางถูกกักอิสรภาพ

ซูจี ในวัย 64 ปี นับไปอีก 10 ปีจากนี้ หากนางยังมีลมหายใจ ก็จะมีอายุ 74 ปี ถามว่านางจะมีพลังวังชาสำหรับการใด เพื่อประชาธิปไตย นี่อาจจะเป็นมุมคิดของผู้นำเผด็จการพม่า ที่นำไปสู่การกักขัง หน่วงเหนี่ยว ผู้หญิงร่างเล็ก หัวใจใหญ่

หากมีใครถามฉันว่า ถ้าคุณจะยกย่องใครสักคน “ใคร” คือ คนแรกสุดที่คุณนึกถึง ฉันคงตอบว่า...อองซาน ซู จี
แม่ดอกไม้เหล็ก ของฉัน





สิ่งที่น่าคิดตามมาจากกรณีของนางซูจี นั่นคือ เกิดอะไรขึ้นกับประชาชนของประเทศนี้ พวกเขาถวิลหาประชาธิปไตยกันจริงหรือ ?
เหตุใด การเรียกร้องประชาธิปไตย จึงให้ “หญิงร่างเล็ก” ผู้นี้ออกหน้ารับผลกระทบอยู่ร่ำไป ราวกับว่าเมื่อขาดนางแล้ว อย่าหวังว่า ประชาธิปไตย“เต็มใบ”ในดินแดนแห่งนี้จะบังเกิด
รัฐบาลเผด็จการทหารพม่า คิดเช่นนั้นหรือไม่
จึงท้าทายประชาชนของตนเอง ด้วยการยอมอ่อนข้อให้มีการเลือกตั้งทั่วไป ในปีหน้า แต่กลับไม่ยินดีที่นางซูจีจะเข้าไปมีส่วนร่วม
ขณะที่การเรียกร้องประชาธิปไตย เรากลับได้ยินเสียงจากเพื่อนร่วมโลก ที่ดังก้องกลบเสียงคนในชาติเดียวกับนาง

ใครคือตัวตาย ตัวแทน ของนาง ในดินแดนปากแม่น้ำอิรวดี แห่งนี้

เราขอเรียกร้อง ความกล้าหาญ จากคนพม่าต่อการจัดการปัญหาประชาธิปไตยในประเทศของตัวเอง
เราขอเรียกร้อง “ใครอีกหลายๆคน” ที่จะก้าวขึ้นมาเป็น ผู้นำที่กล้าหาญ ผู้นำนอมินี แทนนางให้เต็มเมือง

นั่นคือการปลดปล่อยที่แท้จริง
ไม่เพียงปลดปล่อยนาง

แต่คือการปลดปล่อยพันธนาการความคิด ต่อ ประชาธิปไตย ของคนพม่า ต่างหาก

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สงสารแต่แม่ “ปลาบู่”

นิทานปรำปราพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทอง ที่ถูกนำมาทำเป็นหนังจักรๆวงศ์ๆ ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ แม้แต่ตอนนี้ก็กำลังออกอากาศยามเช้า ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ เรื่องราวบอกเล่าถึงเด็กหญิงชาวบ้านผู้มีใจเมตตา ในตอนท้ายของเรื่องได้แต่งงานกับกษัตริย์

เรื่องย่อมีอยู่ว่า...เศรษฐีทารก (อ่านว่า ทา-ระ-กะ) มีอาชีพจับปลา เขามีภรรยา 2 คน คนแรกชื่อขนิษฐา มีลูกสาวชื่อ เอื้อย ส่วนภรรยาคนที่สอง (ตัวร้ายของเรื่อง) ชื่อ ขนิษฐี มีลูกสาวชื่อ อ้าย และ อี่

วันหนึ่งเศรษฐีทารกพาขนิษฐาไปจับปลาในคลอง ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้งก็ได้มาเพียงปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียวเท่านั้น จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน แต่ขนิษฐาผู้เป็นภรรยาเกิดความสงสารปลาบู่ ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป

เศรษฐีทารกเกิดบันดาลโทสะเลยฟาดนางขนิษฐาจนตาย ทิ้งศพลงคลอง จนนางไปเกิดใหม่เป็นปลาบู่ทอง ฯลฯ
ขณะที่เอื้อยลูกสาวนางขนิษฐา ก็ถูกขนิษฐีและลูกสาวกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ เพราะไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นเอื้อย สื่อสารกับปลาบู่ทองผู้แม่

จะว่าไปแล้ว นิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ “เอื้อย” และแม่ ที่มีแต่เรื่องรันทด ชวนสงสาร เข้าตำรานางเอกหนังไทยย้อนยุค

แต่นิทานพื้นบ้านกลับไม่ได้จบลงแค่ในตำนาน (ซะแล้ว)





ใครจะรู้ว่า การเข้าถึงอารมณ์ (Emotional)ของผู้ที่ได้รับฟังเรื่องราว จะสะท้อนไปสู่เรื่องทางการตลาดของ “ปลาบู่”

หลายปีก่อน ฉันได้มีโอกาสร่วมกับคณะสื่อมวลชน ไปดูงานการเลี้ยงปลาบู่เพื่อการพาณิชย์ ที่จังหวัดไหนจำไม่ได้แล้ว ตามคำเชิญของสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่ปล่อยกู้ให้กับบรรดาเอสเอ็มอี

นอกจากขั้นตอนการเพาะเลี้ยงที่ต้องซักถามกันแล้ว เรื่องที่ต้องถามต่อมา คือ ศักยภาพในการทำตลาดปลาบู่
กี่ฟาร์มๆ ที่ไปถาม ก็มักจะได้คำตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขามักจะเลี้ยงเพื่อส่งออกไปยังตลาดจีน และประเทศที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียง อย่างเกาหลี ไต้หวัน มากกว่าจะขายในประเทศ

เลยชวนสงสัยว่า “ทำไม” (ค่ะ) คนไทยถึงไม่ชอบกินปลาบู่ เพราะถ้าจะพูดถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของภาพลักษณ์ไอ้เจ้าปลาบู่แล้ว ไม่ว่า คนไทย คนจีน ฯลฯ ก็คงคิดเหมือนกัน ว่ามันเป็นสัตว์ที่ไม่ชวนมอง ไล่มาตั้งแต่เนื้อตัวที่ดำเหมือม หน้าทู่ๆ แถมยังเป็นปลาขี้เกียจเพราะไม่ชอบว่ายน้ำ แถมชอบทำตัวลับๆล่อๆ หลบอยู่หลังขอนไม้อยู่ได้ จนคนดูต้องเอาหน้าไปใกล้ๆ ถ้าต้องการจะหา “ปลาบู่” สักตัว

Hii..where are you boy?

กว่าจะรู้ตัวอีกทีเจ้า “ปลาบู่” ก็อยู่ในระยะประชิด เล่นเอาตกใจไม่หาย !

กลับมาที่คำตอบที่ได้รับจากคำถามที่ว่า...ทำไมคนไทยไม่ชอบกินปลาบู่

“ก็เพราะคนไทยจะสงสารแม่ปลาบู่ทอง สิหนู” ลุงเกษตรกรคนหนึ่งตอบเสียงดังฟังชัด ด้วยภาษาบ้านๆ

คำตอบนั้น ทำเอาฉันถึงกับ อึ๊ง กิม กี่ (อ๋อ เหรอ ค่ะ อิอิ )

จะขำก็ขำไม่ออก จำต้องกลั้นไว้ ก่อนจะหามุมสงบๆ โทรมาขำจริงๆจังๆ กับคนพี่ออฟฟิศ

ไม่รู้เหมือนกันว่า มีแบบนี้ด้วย

มันเลยทำให้ฉันพลอยขยาดปลาบู่ ไปด้วย

ผ่านการดูงานช่วงเช้า ถึงเวลาอาหารกลางวัน เมนูที่แทบไม่มีใครแตะต้อง นั่นคือ เนื้อปลาบู่เจี๋ยน สีขาวนวล น่าเจี๊ยะ เพราะถูกแปลงโฉม แร่เอาหนังออกแล้ว แต่กลับเหลือบานเบลอะแทบทุกโต๊ะ

แหม ถ้าไม่ทันฟังคำตอบจากคุณลุง ล่ะก็....