ที่ไหนมี “อากาศ” บอกให้เรารู้ว่า ที่นั่นมีชีวิต
ตรงกันข้าม ถ้าที่ไหนขาดอากาศ ชีวิตก็จะกลายเป็นสิ่งไม่มีชีวิต วิทยาศาสตร์เบื้องต้น บอกเราไว้อย่างนั้น
ทำไปทำมา ชีวิตคนเราเข้าไกล้ความตายเอามากๆ แค่กลั่นลมหายใจ
แต่สำหรับเรื่องของจิตศาสตร์ การเว้นช่องว่างให้แต่ละคน (แฟน เพื่อน พ่อ แม่ พี่น้องฯลฯ) เพื่อให้อากาศของคนเหล่านี้ได้ถ่ายเทเข้า-ออกได้ไม่ลำบากจนเกินไปนัก
ก็จะทำให้ทุกคนหายใจคล่องขึ้น
เนื้อเพลง “ที่ว่าง” ที่ "โจ้" วงพอช ร้องไว้ แม้ตัวนักร้องนำจะด่วนตัดช่องน้อยลาโลกใบนี้ไปแล้ว แต่สำหรับเนื้อเพลงของเขาฟังยังไงก็ยังอยู่ในช่องน้อย(ในใจ)คนฟัง
ไม่รู้ใครแต่งเนื้อร้อง คิดได้ไง คนร้องก็เข้าที
โดยเฉพาะท่อนที่บอกว่า...
หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บ ด้วยกัน ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา
แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เธอได้ตามหาฝัน วันเวลาที่เราห่างไกล ความเข้าใจจะทำให้เราใกล้กัน กลับกลายเปลี่ยนเป็นพลัง…
อันที่จริง ที่อยากเขียนเรื่องนี้ เพราะไปสะดุดกับเหตุการณ์เล็กๆ ที่มีเรื่องของ “ช่องลม” เป็นเหตุ
วันนึง ฉันต้องสวมวิญญาณหญิงในร่างกาย (กำยำ) ปีนกะไดไม้ (ต้องใช้คำนี้เพราะโบราณได้ใจ ยังต้องพาดกับผนังอยู่เลย)อันนี้ว่ายากแล้ว ราชนิกูลอย่างฉัน ยังต้องแบกกระดาษแข็งไปปิดช่องลมเหนือประตู หลายช่องมั่กๆ 10 กว่าช่องได้มั๊ง เพื่อจะติดแอร์สักเครื่อง
ก่อนจะลงมือ ก็นั่งคิดอยู่เป็นนานสองนานว่า จะเอาไรติดกระดาษดี ครั้นจะตอกตะปูติดกับกระดาษ ก็ดูจะแมนไปนิ๊ดดดด
สรุปสุดท้าย ขอใช้ “กาวสองหน้า” เพราะดูคุณหนูหน่อย
แต่ที่ไหนได้ !!!!
ชั่วโมงของการแปะ-ติดผ่านไป ทุกอย่างจะไปได้สวย ฉันยืนชมผลงานอีก 15 นาทีได้มั๊ง
ก่อนที่หายนะจะเดินทางมาถึง อีกไม่ช้า
จำได้ว่าคืนนั้นเป็นคืนที่มี “ลมกรรโชกแรง” ไม่รู้ว่าฟ้าหลัว (……!!!???xxx) ด้วยป่าว
ปรากฏว่า ไอ้กระดาษที่ติดไว้ ก็พังครืนลงมาเป็นแถบ เพราะลมตีมาจากห้องข้างๆ ที่ดันเปิดหน้าต่างทิ้งไว้
หลักการของวิทยาศาสตร์ บอกไว้ว่า เมื่อมีอากาศถ่ายเทเข้ามา ยังไง๊ ยังไง ก็ต้องมีทางออก
ไม่งั้นมีหวังห้องคงจะระเบิด
ทางออกของอากาศในกรณีนี้ ก็คือการระเบิดออกทางกระดาษที่ฉันบรรจงแปะไว้
โศกนาฏกรรมครั้งนั้น ทำให้ฉันต้องมาตามล้าง ตามเช็ด กับไอ้กระดาษที่ว่าใหม่ พร้อมกับได้บทสรุปที่ว่า…
เพียงแต่ “เว้นช่อง” ของกระดาษ ให้อากาศมีทางออกไปบ้าง โศกนาฏกรรมกรรมครั้งนี้ คงจะผ่อนหนักเป็นเบาได้บ้าง
ไม่ถึงขั้นต้องมีคนตาย !!!
ต๊อกแต๊ก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ฉันใช้วิธีเดิมคือปีนกะไดไปติดกระดาษอีกครั้ง แต่คราวนี้ชั่วโมงบินสูงขึ้น เปลี่ยนจากกาวสองหน้าเป็น ตะปูเข็ม
แต่ไม่ลืม เว้นช่องเล็กๆ ให้อากาศออก
วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
สวรรค์บนพื้นพิภพ
(พ.ค.52)
ชื่อเรื่องดูอลังฯ ชวนให้นึกถึงหนังกำลังภายใน แต่จริงๆแล้ว มันเป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจ ปนความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยล่ะ
วันหนึ่งมีมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง กำลังเบื่อๆเซ็งๆ กับวิถีชีวิตรูทีน เช้ามาก็ต้องไปทำงาน ระหว่างที่เดินเหม่อๆ ไร้ชีวิตจิตใจ จากบ้านเกือบถึงหน้าปากซอย เพื่อต่อรถไปทำงาน อีก สอง สาม ต่อ กว่าจะถึงที่ทำงาน
แย่จัง รถก็ไม่มีรถขับอย่างเค้า (เศร้า ฉิบ) มนุษย์เงินเดือน สบถ
อีกไม่ถึง 30 ก้าวจะถึงเส้นชัย (หน้าปากซอย) กีฬาเดินเร็วที่ทำท่าจะชนะอยู่ลอมล่อ เธอก็ต้องมาสะดุดกึ๊ก กับ กลุ่มคำ ที่ว่า
“สวรรค์บนพื้นพิภพ"
สาบานได้ว่า เขียนอย่างนี้ ไม่ใช่ สวรรค์เบี่ยง สวรรค์ตกคู หรือ ไม่มีสวรรค์ สำหรับคุณ สำหรับคุณสวรรค์ไม่มี ฯลฯ อะไรทั้งนั้น เธอบอกกับตัวเอง
มันก็แค่กลุ่มคำ กลุ่มคำหนึ่ง (เท่านั้น) ทำไมมันบาดใจ จนทำให้เธอก้าวไม่ออก เพราะสมองไม่สั่งการ มัวแต่ไปคิดถึงกลุ่มคำที่ว่านั้น
แต่ด้วยเพราะกลัวเสียฟอร์ม เธอจึงเก็บอาการสุดฤทธิ์ ภาพที่เห็นภายนอก จึงเป็นแค่ การ “ชำเลือง” ซ้าย ไปที่รถเข็นขายส้มตำ โกโรโกโส หาเช้ากินค่ำ เพราะเป็นตำแหน่งที่หนังสือเล่มที่ว่า วางอยู่
ก่อนจะเดินจากไป แบบ Slow motion โดยมีรถเข็นส้มตำเป็นแบล็กกราวน์
ป่วยการที่เธอจะคิดว่าหนังสือที่ว่านี้ ทำไม๊ ทำไม ถึงมาวางรวมกับอุปกรณ์คู่ชีพของแม่ค้า ช่างเข้ากันจัง
รู้แต่ว่า สะเทือนใจมั่ก กับแม่ค้าขายส้มตำ ผู้ไม่ยอมจำนนกับชีวิต
รถเข็น คือ สวรรค์บนภิภพของเขา (หือๆ) อยากร้องไห้ เธอนึก
สมองปะติดปะตอ ภาพรถเข็นที่เห็น กับ ข้อความบนปกหนังสือ
ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ค้า คิดได้อย่างเธอคนนี้ไหม
แต่ท่าทางตอนตำ เอาเป็นเอาตายมาก
และแล้วเธอก็ถึง “เส้นชัย” จนได้
ชื่อเรื่องดูอลังฯ ชวนให้นึกถึงหนังกำลังภายใน แต่จริงๆแล้ว มันเป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจ ปนความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยล่ะ
วันหนึ่งมีมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง กำลังเบื่อๆเซ็งๆ กับวิถีชีวิตรูทีน เช้ามาก็ต้องไปทำงาน ระหว่างที่เดินเหม่อๆ ไร้ชีวิตจิตใจ จากบ้านเกือบถึงหน้าปากซอย เพื่อต่อรถไปทำงาน อีก สอง สาม ต่อ กว่าจะถึงที่ทำงาน
แย่จัง รถก็ไม่มีรถขับอย่างเค้า (เศร้า ฉิบ) มนุษย์เงินเดือน สบถ
อีกไม่ถึง 30 ก้าวจะถึงเส้นชัย (หน้าปากซอย) กีฬาเดินเร็วที่ทำท่าจะชนะอยู่ลอมล่อ เธอก็ต้องมาสะดุดกึ๊ก กับ กลุ่มคำ ที่ว่า
“สวรรค์บนพื้นพิภพ"
สาบานได้ว่า เขียนอย่างนี้ ไม่ใช่ สวรรค์เบี่ยง สวรรค์ตกคู หรือ ไม่มีสวรรค์ สำหรับคุณ สำหรับคุณสวรรค์ไม่มี ฯลฯ อะไรทั้งนั้น เธอบอกกับตัวเอง
มันก็แค่กลุ่มคำ กลุ่มคำหนึ่ง (เท่านั้น) ทำไมมันบาดใจ จนทำให้เธอก้าวไม่ออก เพราะสมองไม่สั่งการ มัวแต่ไปคิดถึงกลุ่มคำที่ว่านั้น
แต่ด้วยเพราะกลัวเสียฟอร์ม เธอจึงเก็บอาการสุดฤทธิ์ ภาพที่เห็นภายนอก จึงเป็นแค่ การ “ชำเลือง” ซ้าย ไปที่รถเข็นขายส้มตำ โกโรโกโส หาเช้ากินค่ำ เพราะเป็นตำแหน่งที่หนังสือเล่มที่ว่า วางอยู่
ก่อนจะเดินจากไป แบบ Slow motion โดยมีรถเข็นส้มตำเป็นแบล็กกราวน์
ป่วยการที่เธอจะคิดว่าหนังสือที่ว่านี้ ทำไม๊ ทำไม ถึงมาวางรวมกับอุปกรณ์คู่ชีพของแม่ค้า ช่างเข้ากันจัง
รู้แต่ว่า สะเทือนใจมั่ก กับแม่ค้าขายส้มตำ ผู้ไม่ยอมจำนนกับชีวิต
รถเข็น คือ สวรรค์บนภิภพของเขา (หือๆ) อยากร้องไห้ เธอนึก
สมองปะติดปะตอ ภาพรถเข็นที่เห็น กับ ข้อความบนปกหนังสือ
ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ค้า คิดได้อย่างเธอคนนี้ไหม
แต่ท่าทางตอนตำ เอาเป็นเอาตายมาก
และแล้วเธอก็ถึง “เส้นชัย” จนได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)